วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สรุป 7 เทรนด์ E-Commerce 2018


1. คนไทยซื้อของออนไลน์มากขึ้น หลากหลาย Channel
เห็นได้จาก SME ที่บูมมากไม่ว่าจะขายทางเฟซบุ๊ก ไอจี หรือสั่งอาหารผ่านบริการเดลิเวอรี่ทั้งหลาย รวมถึงเทรนด์ของเฟซบุ๊กกรุ๊ปเฉพาะพื้นที่เน้นขายเฉพาะสินค้าและอาหารก็กำลังเกิดเป็นช่องทางใหม่ในขณะนี้ เช่น คนที่อยู่แถวอุดมสุข เปิดเฟซบุ๊กกรุ๊ปเฉพาะคนในพื้นที่ พ่อค้าแม่ค้าสามารถนำเสนอขายของตนเองได้ ผู้บริโภคก็สามารถโพสต์หาสินค้าหรืออาหารที่ต้องการได้เช่นกัน เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการขายไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคของธุรกิจ SME ได้เป็นอย่างดี
2. การขายแบบ C2C
การติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น จะมีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสอง เป็นการที่ผู้บริโภคซื้อขายกันเอง ผนวกกับการจ่ายเงินผ่านมือถือที่สะดวกก็จะยิ่งง่ายมากขึ้น แต่ก็เป็นผลดีในแง่ทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยรูปแบบการใช้จ่ายแบบใหม่ ต่อไปผู้ค้ารายย่อยจะเพิ่มจำนวนขึ้น โดย 1 คน มีมากกว่า 1 อาชีพ อาจทำงานออฟฟิศไปด้วย ขายของออนไลน์ไปด้วย
3. การแข่งขันดุเดือด
เมื่อ SME ขายของได้ง่ายขึ้นก็จะเกิดการแข่งขันตามมา ซึ่งปีหน้าคาดว่าจะดุเดือดมากกว่าปีนี้ สินค้าในมาเก็ตเพลสจะเพิ่มขึ้นมหาศาล โดยทางช้อปปี้บอกว่า ปัจจุบันมีสินค้าในระบบ 7 ล้านชิ้น ปีหน้าเชื่อว่าจะขยายเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า หรือราวๆ 20 ล้านชิ้นเลยทีเดียว เกิดจากผู้ประกอบการจะนำสินค้าเจ้าสู่ออนไลน์มากขึ้นนั่นเอง
4. ผู้บริโภคจะยึดติดกับส่วนลด
เมื่อการแข่งขันกันเองของผู้ขาย โปรโมชั่นจะเป็นตัวการหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งคนไทยมีความชื่นชอบของราคาถูก ทำให้ยึดติดก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีส่วนลด โปรโมชั่น  และโค๊ดส่วนลด ที่จะพร้อมจ่ายเมื่อเห็นว่าราคาปรับลดลง ซึ่งเรื่องลดราคาถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการทำตลาดออนไลน์
5. ทำการตลาดที่ครีเอทีฟมากขึ้น
รายเล็กอย่าไปแข่งกับรายใหญ่ เพราะรายใหญ่จะมีทุนเรื่องโฆษณามากกว่า ให้แข่งกับตลาดเล็กและเป็นตัวใหญ่ในตลาดนั้น จำเป็นต้องทำการตลาดที่แตกต่างไม่ซ้ำคู่แข่ง เช่น ใช้เฟซบุ๊กโปรโมทสินค้า และให้มาซื้อช่องทางออฟไลน์ เพื่อไม่ให้รายใหญ่เห็นพฤติกรรมการซื้อ เพราะบางทีรายใหญ่มักจะดูสินค้าที่ได้รับความนิยมจากรายเล็ก และไปใช้โปรโมชั่นเพื่อแย่งลูกค้าไป ดังนั้นการทำตลาดจึงมีความครีเอทีฟมากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนไว้
6. การซื้อขายแบบ Omni Channel
เมื่อจุดเริ่มต้นการช้อปปิ้งไม่ได้อยู่แค่ที่ห้างอีกต่อไป ปรากฏตัวตามช่องทางต่างๆ หน้าร้านจึงต้องหาวิธีคุยกับลูกค้าในสไตล์ของตนเอง รูปแบบการนำเสนอและการซื้อขายจะเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ เพราะปัจจุบันไม่ได้ขายเฉพาะตัวสินค้า แต่เป็นการขายประสบการณ์ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งยังมีกลุ่มผู้บริโภคก็มักดูสินค้าทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ และเลือกซื้อทางออฟไลน์ ดังนั้น แบรนด์จะต้องใช้จุดนี้ดึงลูกค้ามายังหน้าร้าน
7. ช่องทางไหนง่ายสุด ลูกค้าเลือกช่องทางนั้น
เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายมากแล้ว ลูกค้าจะเลือกใช้บริการช่องทางที่เข้าถึงง่าย ซื้อง่าย และส่งถึงมือ แบรนด์อาจจะสร้างแพล็ตฟอร์มของตนเองและใส่สินค้าลงไป หรือจะมองหามาเก็ตเพลสที่เหมาะกับสินค้าของตน แต่อย่าไปทุกช่องทาง ให้ดูที่กำลังและจำนวนสินค้าด้วย เพราะหากมีการสั่งซื้อจำนวนมากจากหลากหลายช่องทาง แต่สต็อคสินค้าไม่พอที่จะจัดส่ง ก็อาจจะขาดความน่าเชื่อถือได้
สรุป
จะเห็นจากช่วง 5 ปีทีผ่านมาการช้อปปิ้งมีหลายหลายช่องทางให้ผู้บริโภคได้เลือก โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ถึงกระนั้นสินค้าบางประเภทก็ใช่ว่าจะเหมาะกับช่องทางออนไลน์ สิ่งที่ควรคำนึงเบื้องต้นในเรื่องของคุณภาพของสินค้า เรื่องราคาที่เหมาะสม และประสบการณ์ของผู้บริโภค หากสามารถตอบสนองทั้ง 3 ด้านได้ ไม่ว่าช่องทางไหนก็ขายสินค้าได้แน่นอน

























 Credit :digitalagemag.com
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ สร้างธุรกิจด้วย Global Dropship
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อทดลองใช้ระบบช่วยการตลาดออนไลน์แห่งอนาคต



ติดต่อผม : ศิวกร  พันธ์บุญ
โทร : 0982485790
LineID : siwakorn-p
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siwakorn.mdcsystem

สนใจร่วมธุรกิจกับผม >>> www.system-mdc.com/siwakorn
ติดตามเรื่องราวดีๆจากผมแบบอินเทรนด์ผ่าน Line ID :  @mdc- siwakorn
เพิ่มเพื่อน



วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Google เผย 5 เทรนด์การตลาดออนไลน์ ที่คนขายของออนไลน์ต้องรีบรู้ก่อนปี 2018

เทรนด์ที่ 1 ช่องว่างระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์จะหายไป

การทำงานของแบรนด์โดยเฉพาะในแผนกการตลาดนั้น ยังคงถูกแบ่งแยกเป็นคนละฝ่ายกันระหว่าง การตลาดออฟไลน์และการตลาดออนไลน์ ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว ควรจะเป็นแผนกเดียวกัน มีทิศทางและกลยุทธ์ร่วมกัน แต่ประเทสไทยกำลังอยู่ในช่วงระหว่างการถ่ายโอนที่แต่เดิมทุ่มงบการตลาดไปที่ Traditional Marketing หรือการตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งได้แก่ ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ซึ่งในปัจจุบันหลาย ๆ แบรนด์ได้เทงบมาฝั่งของการตลาดออนไลน์มากยิ่งขึ้น หากวัดมูลค่าโดยรวมแล้วงบการตลาดด้าน Digital Marketing ก็แซงหน้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่หลายแบรนด์จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับ ยุค Omni-Channels ซึ่งจำเป็นต้องผูกโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งด้านฐานข้อมูลของลูกค้า การจัดการภายในองค์กร การจัดคลังสินค้า รวมไปร้านค้าออนไลน์แบบ E-commerce ที่จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่มีใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบก้าวกระโดด โดย ณ ปัจจุบัน มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตกว่า 42 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ

แบรนด์จำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างและวางกลยุทธ์ด้านการตลาดใหม่ และเข้าใจว่า Digital Marketing ไม่ใช่โลกของ Niche Market หรือตลาดเฉพาะทางอีกต่อไป เพราะมีผู้คนใช้งานอินเตอร์เกินกว่าครึ่งประเทศ และกำลังมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ให้ความสำคัญกับ Consumer Journey หรือการเดินทางของผู้บริโภคที่สลับเปลี่ยนกันไปมาระหว่างโลกออฟไลน์กับโลกออนไลน์ โดยแบรนด์ของคุณจำเป็นที่จะต้องหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับช่วงเวลาการเดินทางของผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคในแต่ละขั้นตอนจากคนแปลกหน้ากว่าจะมาเป็นลูกค้านั้น ย่อมต้องการข้อมูลและเนื้อหาที่แตกต่างกัน จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและมีประสทิธิภาพมากที่สุด
เอเจนซี่ที่ทำการตลาดด้านเดียว ไม่ว่าจะเป็น Digital Agencyอย่างเดียวหรือ Traditional Agency อย่างเดียว จะทำงานได้ลำบากมากขึ้น เพราะไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น Agency จะต้องปรับตัวและหา Partner ให้ครบองค์ทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ตอบโจทย์ Consumer Jorney ได้อย่างตรงจุด

เทรนด์ที่ 2 เจ้าของแบรนด์จะต้องทบทวนกลยุทธ์การทำเว็บบนอุปกรณ์มือถืออีกครั้ง

เรากำลังอยู่ในยุคของสมาร์ทโฟน ซึ่งแบรนด์ส่วนใหญ่ก็มักจะมีโปรไฟล์ออนไลน์ไว้ซับพอร์ทสมาร์ทโฟนกันอยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือตลาดสมาร์ทโฟนได้เข้าถึงประชากรในประเทศไทยแล้วกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมียอดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านเครื่องในทุก ๆ ปี และมีผู้เข้าชม Youtube ผ่านสมาร์ทโฟนสูงถึงร้อยละ 65 ของคนที่เล่น Youtube ทั้งหมด นับว่าตัวเลขได้แซงหน้าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างขาดลอย และนอกจากนั้นการค้นหาข้อมูลบน Search Engine กว่าครึ่งนั้นมาจากสมาร์ทโฟน
หลายแบรนด์ในประเทศไทยมักนิยมเข้าหาผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนด้วยแอพลิเคชั่น แต่จากสถิติการใช้งานแล้วพบว่า มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนโหลดแอพพลิเคชั่นโดยเฉลี่ยคนละ 32 แอพฯ และในแต่ละวันพวกเขาใช้แอพเพียงร้อยละ 24 ของทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่อง หรือใช้เพียง 7 แอพต่อวันเท่านั้นเอง และนอกจากนั้นคนไทยมักจะดาวน์โหลดแอพฯ ใหม่ ๆ เฉลี่ยเดือนละ 4 แอพฯ และแน่นอนว่ามีการลบแอพฯ เฉลี่ยเดือนละ 3 แอพฯ อีกด้วย
ในขณะที่ความไม่แน่นอนในการใช้แอพลิเคชั่นของผู้บริโภค ทำให้หลายแบรนด์ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะมีแอพฯ เพียงอย่างเดียว ซึ่งนอกจากจะใช้งบประมาณในการพัฒนาแอพฯ สูงแล้ว ประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์ที่ได้รับกลับคืนมายังมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย ดังนั้น การทำเว็บไซต์เพื่อซับพอร์ทอุปกรณ์มือถือนั้น จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของนักการตลาดในปัจจุบัน

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ

แบรนด์ไทยจะต้องคิดทบทวนใหม่เรื่องของกลยุทธ์ที่จะใช้ในอุปกรณ์มือถือ และศึกษาว่าผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มนั้น มีความต้องการอะไรบ้างที่ขาดไม่ได้ ซึ่งการพัฒนา Mobile Web จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมกับกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ รวมไปถึงการเรียกให้ลูกค้าเก่ากลับมาเยี่ยมเยียนแบรนด์อีกครั้ง
แอพฯ พื้นฐานที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนจะยังคงรักษาความจงรักภักดีเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอพลิเคชั่นประเภทการชำระเงิน

เทรนด์ที่ 3 การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้ารายบุคคล

ในช่วงเวลานี้คุณคงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของปัญญาประดิษฐ์หรือเกี่ยวกับการใช้งานหุ่นยนต์มาแทนที่มนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งความสมบูรณ์แบบของเครื่องจักรที่คิดได้เองนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่มันก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพราะหุ่นยนต์ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อนำมาประมวลผลและคิดได้เอง
จริง ๆ แล้ว เราเริ่มคุยกับหุ่นยนต์ในชีวิตประจำวันอยู่บ้างแล้ว อาทิเช่น Siri ที่สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ รวมไปถึงหลาย ๆ เว็บไซต์ ใช้หุ้นยนต์ในการโต้ตอบคำถามหรือพูดคุยกับผู้ใช้งานเว็บไซต์อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือ ผู้คนก็จะเริ่มมีความคาดหวังที่สูงขึ้น เมื่อได้คุยกับหุ่นยนต์ และต้องการได้รับประสบการณ์ที่เป็นส่วนบุคคลมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ

ลูกค้าจะคาดหวังจากประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ได้จากแบรนด์ แม้เพียงเรื่องแค่น้อยนิด ก็ส่งผลกระทบได้อย่างมหาศาล ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงแค่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่มันคือการที่รู้จักแบบเป็นส่วนตัวเลยทีเดียว

เทรนด์ที่ 4 การชำระเงินแบบดิจิตอลจะเข้าถึงทุกช่องทางในการค้าขาย

ในการค้าขายออนไลน์ก่อนหน้านี้ เราอาจจะนึกถึงความปลอดภัยในการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต แต่ในขณะที่ปัจจุบันการโอนเงินสดนั้นกลับมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากกว่าซะอีก เพราะสามารถถูกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่าย แต่ในขณะที่การชำระเงินผ่านบัตรนั้น มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงมากยิ่งขึ้น และสามารถติดตั้งระบบรับชำระเงินไว้บนเว็บไซต์ได้ โดยยากต่อการที่มิจฉาชีพจะปลอมแปลงได้ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้จ่ายออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตเพียง 5.7 เปอร์เซ็นต์ของการซื้อของออนไลน์เท่านั้น
โดยตอนนี้ทั้งประเทศก็ได้เริ่มต้นแล้ว ด้วยการเริ่มต้นที่การสร้างระบบ Promt Pay ที่จะรวมทุก ๆ การชำระเงินเข้าไว้ในที่เดียว แต่ตอนนี้ทาง SCB ก็ได้เริ่มรุกหนักแล้ว ด้วยการที่กดเงินจากตู้บัตรเอทีเอมโดยไม่ต้องมีบัตร หรือขึ้นวินมอเตอร์ไซต์ไม่ต้องพกเงินสด พกแค่มือถือเพื่อชำระเงินผ่าน QR Code ได้ในทันที
จะเห็นได้ว่าเงินดิจิตอลนั้น จะเริ่มแพร่หลายไปในทุก ๆ ช่องทาง เพื่อลดการใช้เงินสด ซึ่งเทรนด์นี้ทางประเทศจีนก็ได้ริเริ่มและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการใช้เงินดิจิตอลแทนเงินสดจริง ๆ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ

ข้อจำกัดในการชำระเงินจะถูกพังทลายลง หลาย ๆ ธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ เนื่องมาจากติดปัญหาด้านการชำระเงิน ดังนั้นเมื่อกำแพงด้านการชำระเงินทลายลง มันก็ง่ายที่จะนำธุรกิจออฟไลน์เข้าสู่โลกออนไลน์
สำหรับธุรกิจแบบ E-commerce จะขยายธุรกิจผ่านเว็บไซต์ที่เป็นเสมือนโชว์รูมแสดงสินค้าของธุรกิจ โดยสามารถให้ผู้บริโภคค้นหาสินค้า ทดลองสินค้าและซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกสบา

เทรนด์ที่ 5 แบรนด์จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยการวัดผลในสิ่งที่สำคัญมากกว่าตัวแปรเดิม

หากคุณทำ Digital Marketing อยู่แล้ว คุณมักจะพบกับตัววัดผลที่สำคัญ ๆ และคุ้นหูเป็นอย่างดี เช่น click through rate, conversion rate, Impression, reach, cost per click เป็นต้น จะดีกว่าไหมถ้ามีตัวผลวัดที่ชื่อว่า “impact measurement” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ผลที่เกิดจากแคมเปญว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ให้บริการลงโฆษณาก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตเราจะได้เห็นว่า มันสามารถติดตามผู้บริโภคได้ทั้งในโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์ได้ในเวลาเดียวกัน อย่างตอนนี้ Walmart ก็ได้จดลิิิขสิทธิ์เกี่ยวกับการติดตามผู้บริโภคภายในบ้านเอาไว้แล้ว ซึ่งเจ้าตัวติดตามนี้ สามารถรู้ได้ว่า มีอะไรวางอยู่ตรงส่วนไหนของบ้านบ้าง มีการเปิดทีวีตอนกี่โมง ยาสีฟันตอนนี้เหลือครึ่งหลอด ก็สามารถตรวจสอบได้ และนำโฆษณาที่เหมาะสมขึ้นแสดงต่อผู้บริโภค และนอกจากนั้น Facebook ยังยอมรับอีกด้วยว่า มีเทคโนโลยีที่ดักฟังเสียงจากสมาร์ทโฟน เพื่อนำมาประมวลผลในการแสดงโฆษณาหน้าฟีดข่าวของผู้บริโภคอีกด้วย

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ

นักการตลาดจะไม่พอใจกับเครื่องมือการวัดผลแบบผิวเผินอีกต่อไป แต่ต้องการเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในวิเคราะห์เชิงลึกและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้แคมเปญออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด
นักวิจัยข้อมูลจะมีความสำคัญและมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เพื่อจะพัฒนาให้เครื่องมือสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญการตลาด โดยช่วยให้นักการตลาดวิเคราะห์ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
และนี่คือ 5 เทรนด์การตลาดออนไลน์ที่ทาง Google ต้องการบอกต่อผู้ประกอบการทุกคน และคุณจำเป็นต้องรู้เพื่อสามารถปรับตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่งบนโลกออนไลน์ในปี 2018 นี้ครับ และขอขอบคุณข่าวสารข้อมูลดี ๆ จากทาง Google และเว็บไซต์ Think with Google อีกครั้งครับ
Credit : Think with Google 

ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ สร้างธุรกิจด้วย Global Dropship
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อทดลองใช้ระบบช่วยการตลาดออนไลน์แห่งอนาคต



ติดต่อผม : ศิวกร  พันธ์บุญ
โทร : 0982485790
LineID : siwakorn-p
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siwakorn.mdcsystem

สนใจร่วมธุรกิจกับผม >>> www.system-mdc.com/siwakorn
ติดตามเรื่องราวดีๆจากผมแบบอินเทรนด์ผ่าน Line ID :  @mdc- siwakorn
เพิ่มเพื่อน



วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

10 วิธี ใช้ Social Media เพื่อเพิ่มลูกค้าสำหรับ Design Business

ในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นับว่าเป็นสื่อที่ได้รับความนิยม และทรงประสิทธิภาพในการทำตลาดมากที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการทำตลาดโดยใช้วิดีโอที่หลายๆ ธุรกิจหันมาใช้ในการทำตลาด ไม่เว้นแม้แต่ Design Business (นักออกแบบธุรกิจ) ที่นิยมนำวิดีโอมาเป็นตัวช่วยในการทำตลาด

หากคุณกำลังสนใจ หรือเป็นเจ้าของ Design Business ก็ไม่ควรพลาดที่จะอ่าน 10 วิธี ใช้ Social Media เพื่อเพิ่มลูกค้าสำหรับ Design Business ที่ Am2b Marketing นำมาฝากทุกท่านในวันนี้

1. ไลฟ์สด Q & A เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญของคุณ

จากการศึกษาจำนวนมากที่ได้พบนั้น สามารถยืนยันได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบการดูวิดีโอเกี่ยวกับการตลาด มากกว่าการอ่านเนื้อหาทางการตลาดประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมสด ที่ถือได้ว่าเป็นส่วนขยายใหม่ในการทำการตลาดแบบวิดีโอ ที่แสดงให้เห็นว่าการทำการตลาดในรูปแบบของวิดีโอนั้น มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการมีส่วนร่วมกับผู้เข้าชม
หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการสตรีมสดคือการนำเสนอทักษะของคุณ โดยเปิดให้ผู้เข้าชมสามารถเข้ามามีส่วนร่วมโดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่คุณถนัด หรือมีความรู้ด้วยการถามตอบแบบเรียลไทม์ที่สามารถถามตอบได้ในเวลาอันรวดเร็ว ข้อดีของการใช้วิธีนี้คือคุณสามารถแสดงความเชี่ยวชาญของคุณให้กับผู้คนได้พบเห็น และสามารถเพิ่มการติดตามจากผู้คนอื่นๆ ได้อีกด้วย

2. โพสต์วิดีโอเกี่ยวกับกระบวนการออกแบบบน YouTube

สถิติในการใช้งาน YouTube คือการอัพโหลดเนื้อหาลงบน YouTube ทุกนาทีภายในระยะเวลา 300 ชม. ที่นับว่าเป็นเครื่องมือในการค้นหาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การใช้ YouTube สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมทธุรกิจการออกแบบของคุณ และการจัดอันดับ SEO ที่จะทำให้การค้นหาสามารถเป็นไปได้ง่ายขึ้น
คุณสามารถทำให้ผู้ติดตามของคุณมองเห็นเบื้องหลังการทำงาน การออกแบบแบรนด์ที่ดูเป็นส่วนตัว หรือเป็นความลับที่ไม่ค่อยจะมีคนทราบออกมาในรูปแบบวิดีโอ เพื่อแนะนำให้ผู้คนได้เห็นลงบน YouTube ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชม และเป็นหนึ่งในวิธีการแสดงความเชี่ยวชาญที่คุณมีให้ลูกค้าได้เห็น

3. ติดแท็กตำแหน่งข้อความเพื่อดึงดูดลูกค้า

การตลาดแบบติดแท็กตำแหน่งข้อความคือวิธีการที่จะช่วยให้คุณได้พบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แท้จริงในธุรกิจของคุณ เพราะฉะนั้นในการโพสต์ทุกครั้งคุณก็ไม่ควรที่จะลืมติดแฮชแท็กเพื่อแสดงถึงตำแหน่งที่จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้กลุ่มลูกค้ายังสามารถค้นหาบริการของคุณได้จากใช้แฮชแท็กอีกด้วย

4. เชื่อมต่อกับผู้มีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์

ผู้มีอิทธิพลในสื่อทางสังคมคือผู้ที่มีอำนาจในรูปแบบต่างๆ ผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่บนโลกออนไลน์มักเป็นผู้ที่มีความชอบ และความคิดเห็นในการทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ จนทำให้เกิดการติดตามที่มาจากผู้คนที่มีแนวคิด หรือความชื่นชอบในรูปแบบเดียวกัน หากคุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้มีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ได้ คุณจะได้รับความน่าเชื่อถือตามแพลตฟอร์มหรือช่องทางการตลาดที่ผู้มีอิทธิพลเลือกใช้

5. เชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน LinkedIn

LinkedIn ถือได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มตัวแรกที่คำนึงถึงธุรกิจออกแบบ ที่มีอัตรา Conversion สูงกว่า Facebook ถึง 240% และยังเป็นช่องทางที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการขายได้มากถึง 80% คุณสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวกับ LinkedIn ได้โดยการโพสต์ลิงก์ที่เชื่อมต่อไปยังงานที่เสร็จแล้วของคุณบน LinkedIn

6. สร้างเรื่องราวผ่าน Instagram และ Snapchat

การเล่าเรื่องราวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าหากลุ่มผู้ชมของคุณ นอกจากนี้การเล่าเรื่องราวยังถูกนำไปใช้ในการทำโฆษณาอย่างต่อเนื่อง และวิธีการนี้ก็เหมาะมากที่จะใช้กับ Instagram และ Snapchat ที่คุณสามารถสร้างโพสต์ได้จากรูปถ่าย ข้อความ และสถานที่ตั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการในการเล่าเรื่องราวได้อย่างน่าประทับใจ

7. ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อโปรโมทการแจกของขวัญ

ใครๆ ก็ชอบของฟรี ดังนั้นการจัดการแข่งขันโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อโปรโมทการแจกของขวัญ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ผู้ติดตามของคุณเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO ที่ทำให้ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพิ่มมากขึ้นได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถจัดการแข่งขันได้หลายรูปแบบ โดยไม่ลืมการสร้างเงื่อนไขหรือกติกาที่สนับสนุนการกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการแท็ก

8. รวมตัวเลือกการซื้อในทุกช่องทาง

คุณควรใช้โซเชียลมีเดียเป็นจุดขายที่ง่ายที่สุด โดยการฝังปุ่ม หรือลิงก์ที่จะนำลูกค้าไปสู่หน้าเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจากวิธีนี้จะทำให้เกิดการขายได้รวดเร็วที่สุด และยังทำให้ลูกค้าเข้าถึงการซื้อขายได้ง่ายมากขึ้น ในปัจจุบัน Instagram ก็ได้สนับสนุนการขายมากขึ้นด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นการใส่ราคาไว้ในรูปภาพ พร้อมลิงก์ และสื่อโซเชียลมีเดียอย่าง Pinterest Shopify และอื่นๆ อีกมากมายที่จะเข้ามาสนับสนุนการเพิ่มจำนวนลูกค้าของคุณ

9. ติดตามลิงก์ที่คุณแชร์

การเพิ่มลิงก์ไปยังเว็บไซต์ หรือหน้าเพจต่างๆ ของคุณ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้ผู้ติดตามมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สื่อโซเชียลมีเดียบางตัวก็ทำการจำกัดตัวอักษรในการโพสต์ แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะโพสต์ที่มีความยาวไม่มากจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้คุณยังสามารถติดตามผลของลิงก์ที่คุณได้วางตามที่ต่างๆ เพื่อดูว่าลิงก์ใดสามารถดึงดูดให้ผู้คนได้มากที่สุด

10. รวมบทความกับกลยุทธ์เนื้อหาโดยรวมของคุณ

บริษัทจำนวนมากได้ดำเนินการวิจัย เพื่อหาเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์เพื่อให้ผู้คนได้พบเห็นเนื้อหาในการโพสต์มากที่สุด ประกอบกับการใช้กลยุทธ์อื่นๆ อีกมากมายที่จะเข้ามาช่วยให้โพสต์ของคุณเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากว่าคุณต้องรับผิดชอบในงานส่วนนี้แค่เพียงคนเดียว การทำงานในลักษณะนี้คงเป็นงานที่ยุ่งยากไม่น้อยเลยทีเดียว
วิธีที่ดีที่สุดในการบริหารงานในขั้นตอนนี้คือการนำเครื่องมือดีๆ อย่าง Hootsuite หรือ Buffer เข้ามาช่วยรวบรวมบทความและกลยุทธ์เนื้อหาโดยรวมของคุณ เพื่อทำการจัดตารางเวลาในการโพสต์ หรือการสร้างปฏิทินที่รวบรวมเนื้อหาทางการตลาดของคุณที่จะทำให้การทำงานของคุณง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ 10 วิธี ใช้ Social Media เพื่อเพิ่มลูกค้าสำหรับ Design Business ที่คุณได้อ่านมานี้ ล้วนเป็น 10 วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ หรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับธุรกิจของคุณได้

Credit : am2bmarketing.co.th

ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ สร้างธุรกิจด้วย Global Dropship
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อทดลองใช้ระบบช่วยการตลาดออนไลน์แห่งอนาคต



ติดต่อผม : ศิวกร  พันธ์บุญ
โทร : 0982485790
LineID : siwakorn-p
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siwakorn.mdcsystem

สนใจร่วมธุรกิจกับผม >>> www.system-mdc.com/siwakorn
ติดตามเรื่องราวดีๆจากผมแบบอินเทรนด์ผ่าน Line ID :  @mdc- siwakorn
เพิ่มเพื่อน



วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เริ่มต้นทำ Dropship ต้องทำอย่างไร?



ธุรกิจการทำ Dropship เพิ่งจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากใน 3-4 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีการตีตลาดสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาในประเทศ ซึ่งคนไทยมักจะรู้จักสินค้าจีนจากเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Taobao หรือ Alibaba เพราะสินค้าบางอย่างจะมีการสั่งซื้อแบบแพ็คจำนวนมากๆได้ หรือสามารถซื้อแบบปลีกชิ้นเดียวก็ได้ ดังนั้นจึงเริ่มมีคนไทยสนใจนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายทำกำไรกันเยอะมาก มีธุรกิจพานักลงทุนชาวไทยไปดูแหล่งสินค้า มีบริการนำเข้าสินค้ามาไทยให้เสร็จสรรพ นี่คือเส้นทางการทำธุรกิจ ก่อนที่จะมาเป็น Dropship
Dropship คือ การที่เรานำสินค้าของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ามาขายต่ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งราคาที่ได้รับก็จะเป็นราคาขายส่ง โดยเราสามารถบวกกำไรเพิ่มเมื่อนำไปขายต่อ เมื่อมีผู้มาซื้อสินค้าจากเรา เราก็โอนเงินค่าสินค้าไปให้ผู้นำเข้า ให้ผู้นำเข้าเป็นฝ่ายส่งสินค้าไปให้ลูกค้า โดยที่เราไม่ต้องสต็อกสินค้า สามารถขายได้ง่ายๆจากทางเว็บไซต์หรือ Facebook พูดง่ายๆคือไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน
เราจะเห็นได้ว่า การทำ Dropship นั้น เปรียบเสมือนคนกลางในการช่วยโฆษณาขาย กินส่วนแบ่งของกำไร ดังนั้นจึงมีหลายคนให้ความสนใจที่จะเริ่มทำ Dropship บ้าง แต่ก็ติดตรงที่ว่า จะเริ่มจากตรงไหน และจะหาสินค้าหรือผู้ให้ Dropship กับเราจากไหนดี

การหาผู้ให้ Dropship

สำหรับต่างประเทศ การหาสินค้าหรือหาผู้ให้บริการ Dropship ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตาม dhgate.com, lightinthebox.com, alibaba.com หรือจากเว็บไซต์รับนำเข้าสินค้าจากจีน เว็บไซต์เหล่านี้จะมีคอร์ส มีบริการพาไปดูแหล่งสินค้าถึงจีนเลย และให้บริการการนำเข้ามาจากจีน (ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นในส่วนของผู้ค้าส่งหรือผู้ที่ต้องการลงทุนสินค้าจากจีน)
สำหรับประเทศไทย มีเว็บไซต์ที่เป็นศูนย์กลางตัวแทนการทำ Dropship อยู่มากเช่นกัน สินค้าก็จะมีหลากหลาย ตั้งแต่ นาฬิกา, รองเท้า, แว่นตา, เสื้อผ้า และ เครื่องประดับ หรือสินค้าอื่นๆ โดยสามารถเข้าไปดูได้ที่ dropshipthai.com ซึ่งจะมีรายชื่อของผู้ให้ Dropship จำนวนมากที่ต้องการตัวแทนจำหน่ายสินค้า อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของผู้ให้บริการ Dropship จะไม่เหมือนกันเพราะบางรายอาจจะไม่เสียค่าสมัคร บางรายอาจจะมีค่าสมัครด้วย
การเลือกผู้ให้บริการ Dropship ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ผู้ให้บริการจะต้องมีความพร้อมในการทำธุรกิจ ต้องมีการจัดเตรียมข้อมูล รายละเอียดของสินค้า มีรูปถ่ายของสินค้าที่ชัดเจน (เพื่อให้ตัวแทนนำไปลงในเว็บไซต์) นอกจากนี้จะต้องมีการกำหนดราคาขายที่ชัดเจน กล่าวคือ เรทราคาส่ง และราคาปลีก จะต้องมีการกำหนดไว้ ว่าตัวแทนที่จะนำสินค้าไป สามารถเพิ่มกำไรได้มากน้อยเท่าไหร่ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการขายตัดราคากันเอง ทำให้สินค้าไม่มีมาตรฐาน

การเสนอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า Dropship

ปกติแล้ว การขายสินค้าโดยส่วนใหญ่จะต้องมีหน้าร้านในการโชว์สินค้า แต่สำหรับการทำ Dropship คุณไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน เพียงคุณมีความรู้เรื่องการตลาดออนไลน์ มีความรู้ในการทำเว็บไซต์ หรือโปรโมทร้านทางอินเตอร์เน็ต คุณก็สามารถเริ่มทำ Dropship ได้แล้ว
เมื่อคุณได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของสินค้าที่คุณสนใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การทำหน้าเว็บไซต์ เพื่อขายสินค้า รูปแบบเหมือนกับเว็บขายของสำเร็จรูปทั่วไป หรือถ้าคุณมีความรู้ในเรื่องของการทำเว็บไซต์อยู่บ้างแล้ว ก็สามารถที่จะทำเว็บไซต์ให้แตกต่างจากคนอื่นๆได้เช่นกัน
สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ นำรูปภาพและรายละเอียดของสินค้า ใส่ในเว็บไซต์ และทำการโปรโมท ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้ความรู้ทางด้านการทำตลาดออนไลน์ การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด หรือการทำ SEO เพราะขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าได้
เมื่อขายสินค้าได้แล้ว สิ่งที่คุณทำต่อไปนี้ คือ แจ้งการโอนเงิน สินค้านั้นๆไปให้ผู้ให้บริการ ส่งชื่อที่อยู่ของลูกค้าเพื่อให้ผู้ให้บริการจัดส่งไปถึงลูกค้า เพียงเท่านี้ก็จบกระบวนการในการทำธุรกิจแบบ Dropship แล้ว

ข้อระวังในการทำ Dropship

การทำธุรกิจไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการ ทุกอย่างจะต้องมีอุปสรรคหรือปัญหาให้ต้องแก้ไขเสมอ การเลือกผู้ให้บริการเป็นสิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะบางครั้งเมื่อเรารับเงินจากลูกค้า แต่ผู้ให้บริการอาจจะไม่ส่งสินค้าให้ลูกค้า หรือ ส่งสินค้าที่ไม่มีคุณภาพไปให้แทน สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา เพราะคุณต้องเป็นผู้ประสานงานระหว่างลูกค้า กับ ผู้ให้บริการ หากคุณร่วมงานกับผู้ให้บริการ Dropship ที่ไม่มีความจริงใจ ไม่ซื่อสัตย์หรือคดโกง ผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับลูกค้าก็ต้องเป็นคุณก่อน แล้วคุณถึงไปไล่เบี้ยกับผู้ให้บริการอีกครั้ง ดังนั้นก่อนจะเลือกผู้ให้บริการ ควรหาข้อมูลเกี่ยวผู้ให้บริการเสียก่อน ผู้ให้บริการที่จริงใจ จะยินดีเปิดเผยข้อมูลและคุณสามารถตรวจสอบได้ เมื่อเกิดปัญหาก็จะสามารถติดตามได้
Credit : ecommerce.in.th

ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ สร้างธุรกิจด้วย Global Dropship
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อทดลองใช้ระบบช่วยการตลาดออนไลน์แห่งอนาคต



ติดต่อผม : ศิวกร  พันธ์บุญ
โทร : 0982485790
LineID : siwakorn-p
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siwakorn.mdcsystem

สนใจร่วมธุรกิจกับผม >>> www.system-mdc.com/siwakorn
ติดตามเรื่องราวดีๆจากผมแบบอินเทรนด์ผ่าน Line ID :  @mdc- siwakorn
เพิ่มเพื่อน


วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แนะนำ 5 สุดยอดเครื่องมือ ทำการตลาดออนไลน์แบบฟรีๆ จาก Google


วันนี้ผมขอสอนจระเข้ว่ายน้ำด้วยการ แนะนำ 5 เครื่องมือในการทำการตลาด แบบฟรี ของอาเฮียกูเกิล (Google) ซึ่งผมเชื่อว่า นักการตลาดออนไลน์, นักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาทั่วไป ต้องเคยใช้เครื่องมือเหล่านี้มาก่อน หรือถ้าไม่เคยคุณก็จะได้รู้จักกับ “เครื่องมือทำการตลาดออนไลน์แบบฟรีๆ จาก Google“ อย่างแน่นอน ซึ่งวันนี้ผมมี 5 เครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดออนไลน์สร้างธุรกิจ ทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงินที่ทิ้งคู่แข่งอย่างกินขาดอย่าง Google มาแนะนำครับ 

       1. Gmail & Goole talk : เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคุณกับลูกค้า ผ่านทางอีเมล์ที่แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Hotmail ที่มีปัญหาเรื่องส่งอีเมล์เข้ากล่องรับจดหมายได้ยาก เนื่องจากระบบป้องกันที่ป้องกันอีเมล์จากคนที่ไม่รู้จักซึ่งทำให้คุณพลาดอีเมล์ตอบกลับจากลูกค้าได้ 

       2. Google Document : เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและจัดการเอกสาร ซึ่งช่วยให้คุณสร้างระบบเอกสารออนไลน์ที่ช่วยให้คุณสร้างสร้างบทความ ในการทำ ”การตลาดออนไลน์” ด้วยการสร้างเอกสารผ่านระบบเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ (Google Drive) ที่คุณสามารถจัดการเอกสารผ่านคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แทปเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ของคุณ หรือของเพื่อน ที่อัพเดตอยู่เสมอได้จากทุกๆ ที่ 

       3. Google Keyword tool : เครื่องมือในการวิเคราะห์ และค้นหา Keyword ที่ช่วยให้คุณสร้างคำค้นหา (Keyword) ที่ช่วยให้ลูกค้าค้นหา เว็บไซต์ /วิดีโอ ของคุณ ได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคำค้นหาที่ดีนั้นจะมีผลต่อค่าใช้จ่ายในแคมเปญโฆษณาออนไลน์ (PPC) ทั้งของ Google Adword, Facebook PPC, Yahoo Advertise ให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง

       4. Google Analytic : เครื่องมือในการตรวจสอบสถิติ ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์การทำงานของเว็บไซต์ ทั้งสถิติผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ อัตรา Conversion ของเว็บไซต์ ซึ่งหมายถึง เปอร์เซนต์ของผู้ที่ซื้อสินค้า หรือ ทำการตอบสนองกิจกรรมที่คุณกำหนดในเว็บไซต์อย่างเช่น กดปุ่มโหวต หรือแชร์เว็บไซต์, เข้าร่วมเล่นกม วัดยอดขาย การดาวน์โหลด กับจำนวนผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ และแคมเปญการตลาดของคุณ ให้เข้ากับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

       5. Youtube : เครื่องมือในการเผยแพร่วิดีโอที่ช่วยให้คุณสร้างช่องทีวีออนไลน์ ที่คุณสามารถแบรนด์ตัวคุณ โฆษณาสินค้าของคุณ หรือแบ่งปันวิดีโอของคุณกับลูกค้า และผู้มุ่งหวังที่ โดยที่ นักธุรกิจออนไลน์, นักธุรกิจเครือข่ายออนไลน์ ไม่ต้องเสียเงินหลายหมื่น หลายแสนบาทกับการทำโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือทีวีดาวเทียม เหมือนนักการตลาดออฟไลน์ 
       
       มาถึงจุดนี้คุณคงเข้าใจถึงข้อดีของการใช้เครื่องมือของ Google กันแล้วนะ ครับ ที่สำคัญคุณสามารถใช้ Username และ Password เพียงชุดเดียวเพื่อล็อคอินเข้าจัดการเครื่องมือทั้ง 5 ตัวนี้ผ่าน Google Account เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน

Credit : อนุสรณ์ เมืองศรี
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ สร้างธุรกิจด้วย Global Dropship
ลงทะเบียนฟรี!!! เพื่อทดลองใช้ระบบช่วยการตลาดออนไลน์แห่งอนาคต




ติดต่อผม : ศิวกร  พันธ์บุญ
โทร : 0982485790
LineID : siwakorn-p
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siwakorn.mdcsystem

สนใจร่วมธุรกิจกับผม >>> www.system-mdc.com/siwakorn
ติดตามเรื่องราวดีๆจากผมแบบอินเทรนด์ผ่าน Line ID :  @mdc- siwakorn
เพิ่มเพื่อน


วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

งานสัมมนา SUCCESS OLYMPIC

หลักการและเหตุผล/วัตถุประสงค์

     สัมมนาดีๆที่ผู้เริ่มต้นธุรกิจ และเจ้าของกิจการ ไม่ควรพลาด !!!

    สัมมนา SUCCESS OLIMPIC จะเป็นสัมมนาที่จะปลดล็อคความคิด และจะเปลี่ยนชีวิตคุณ!!!

- สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์
- ต้องการหาเครื่องมือทำการตลาดในยุค DIGITAL 4.0
​- เรียนรู้เทคนิคการสร้างยอดขายแบบถล่มทลายบนโลกออนไลน์
- พบกับสุดยอดโอกาสทางธุรกิจที่มีระบบสอนและสนับสนุนการสร้างยอดขาย
​ทั้ง OFFLINE และ ONLINE แบบ 100%​​

โดยสุดยอดวิทยากรที่พิสูจน์แล้วว่า "ทำได้จริง"

วันที่จัดงาน
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2560 รอบกลางวัน 08.30-14.00 น. และรอบค่ำ 1ึ7.00-22.00น
วันที่ 2ุุ6 พฤศจิกายน 2560 รอบเช้า 08.30-12.00 น. และรอบบ่าย 12.45-17.00น
หัวข้ออบรมสัมมนา
​​สิ่งที่ท่านจะได้รับจากสัมมนานี้ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณทันที!!!
  • ​รู้จักและเข้าใจโมเดลธุรกิจ ในยุคดิจิทัล 4.0 (Online Marketing 4.0) 
  • เทคนิคการเพิ่มยอดขายบนโลกออนไลน์
  • หลักในการเลือกสินค้าให้ตรงตามเทรนด์หรือกระแส ในยุคธุรกิจออนไลน์ 4.0
  • ทราบแนวโน้มและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ตลาดในประเทศและทั่วโลก
  • เครื่องมือผ่อนแรง สร้างยอดธุรกิจออนไลน์ให้ปัง ที่ใช้งานได้จริงในยุคธุรกิจออนไลน์ 4.0
  • เผยเบื้องหลังความสำเร็จแบบก้าวกระโดดของบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Facebook , Uber , Airbnb , Line , Grab , 7-11
  • เผยเคล็ดลับ 5 ข้อในการเลือกสินค้าและหุ้นส่วนที่ทำให้สร้างยอดขายหลักแสน-หลักล้าน ได้
  • ​โอกาสสร้างช่องทาง หารายได้ใหม่แบบไร้พรมแดน
  • รับแนวคิดและวิธีการขยายยอดธุรกิจบนโลกออนไลน์
  • มีความรู้ความเข้าใจของการทำธุรกิจแบบ Leverage​​
วิทยากร
คุณตฤณ  วิชัยดิษฐ และ Guest Speaker อีกหลายท่าน

 “คนไทยใน Forbes Megazine ผู้มีรายได้รวมพันล้านในการทำธุรกิจ



สถานที่จัดงาน
โรงแรมแมนดาริน สามย่าน


วันที่ 25 พฤศจิกายน 2560 รอบกลางวัน 08.30-14.00 น. และรอบค่ำ 1ึ7.00-22.00น
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2560 รอบเช้า 08.30-12.00 น. และรอบบ่าย 12.45-17.00น

ราคา/โปรโมชั่น/ส่วนลดพิเศษ

ราคาบัตร 2,500  บาท / 1 คน 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ :098-248-5790

หากท่านต้องการสมัคร สัมมนา SUCCESS OLIMPIC
กรุณากรอกรายละเอียด 'สมัครเข้าสัมมนา' ด้านล่างนี้

บัตรราคาพิเศษ 2,500 บาท *การันตีความพึงพอใจ ไม่พอใจยินดีคืนเงิน!!!

ลงทะเบียนรับบัตร SUCCES OLIMPIC